เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบนหน้าแรกของ Google ก็จะเพิ่มโอกาสขายสินค้า และบริการให้มากขึ้นไปอีก เพราะกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมซื้อสินค้าจากเว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ที่มีการค้นพบเป็นอันดับต้นๆ
3. โปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จัก
การโปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายได้ เมื่อการค้นหาเว็บไซต์พบอยู่ในหน้าหนึ่งของ Google ก็จะทำให้ผู้คนได้เห็นชื่อเว็บและมีการคลิกเข้าชมเว็บมากขึ้น และหากเว็บไซต์มีการออกแบบที่น่าสนใจและมีสินค้าที่มีคุณภาพ ก็จะทำให้เกิดการบอกต่อและมีการกลับมาใช้บริการเว็บไซต์ซ้ำๆ
4. ลดค่าใช้จ่ายในการลงโฆษณา
การทำ SEO แม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงโฆษณาได้ดี เพราะจากการคลิกเว็บไซต์ในส่วนของ SEO จะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เกิดขึ้นเหมือนกับการลงโฆษณาที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการทำ SEO ก็ขึ้นอยู่กับ Keyword ที่ใช้ด้วย ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้ดีก่อนเลือก Keyword ที่จะใช้ในการทำ SEO
ความรู้เรื่อง SEO นั้นมีอยู่มากมาย เรียนรู้เท่าไหร่ ก็ไม่มีวันจบสิ้น เพราะการทำ SEO ไม่มีสูตรสำเร็จ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ แต่ละธุรกิจใช้กลยุทธ์ทำ SEO ที่ไม่เหมือนกัน สำหรับบทความชุดนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้แสวงหาแนวทางทำ SEO ที่ถูกต้อง
เรียน SEO ออนไลน์ฟรี 4 บทเรียน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการทำ SEO
1. SEO คือ อะไร?
การทำ seo คือ การผลักดันเว็บไซต์ตัวเองให้ติดหน้าแรกเวลาค้นหาบน google ด้วยคีย์เวิร์ดที่ต้องการ โดยไม่ใช้การลงโฆษณา และต้องทำด้วยกระบวนการต่างๆ ในรูปแบบที่ Google ต้องการด้วย ซึ่งคำนี้ย่อมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Search engine optimization
2. แก่นของ Google SEO คืออะไร
เราใช้งาน google เพื่อหาคำตอบ แต่เราเล่น facebook เพื่อความสนุก และเพื่ออวดบางสิ่งบางอย่างให้คนอื่นๆ รับรู้จริงมั้ยครับ ?
ซึ่งจุดนี้แหละคือสิ่งที่ยากที่สุดของการทำ SEO เพราะการจะทำให้คนมีส่วนร่วมบนเว็บของเรามันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ และยังต้องสร้างคุณค่าให้กับผู้เข้าชมเว็บของเราด้วย
ถ้าคุณไปจ้างใครทำ SEO แล้วเขาทำอยู่แค่นี้ แสดงว่าคุณกำลังถูกหลอก สิ่งที่เขากำลังทำให้คุณมันไม่ได้ช่วยให้เว็บคุณดูดีขึ้นเลยในสายตาของ Google
คุณต้องเข้าใจ Model ทำเงินของ Google และ Facebook ก่อน พวกเขามีรายได้จากค่าโฆษณา ดังนั้น หน้าที่ของ Google และ Facebook เขาต้องบีบให้ให้พวกเราซื้อโฆษณา โดยการปรับอัลกอลิทึม ของเว็บที่จะติดหน้าแรกได้ ต้องยากที่สุด คือจะมีแค่เว็บที่มีคุณภาพดีเท่านั้นที่ติดหน้าแรกได้
เพราะหากการทำ SEO มันจ้างกันแบบง่ายๆ ได้ คนก็จะไม่ไปซื้อโฆษณากับ Google เขาก็ต้องเสียรายได้ ดังนั้น Google จึงไม่มีทางยอมแน่ๆ
In 2018, stuffing your website with backlinks may hurt more than help. คำว่า “more backlinks, higher ranking” จึงเป็นแนวคิวที่ใช้การไม่ได้แล้วในยุคนี้
Google’s ad revenue from 2001 to 2017 (in billion U.S. dollars)
6. ถ้าอยากจ้างทำ SEO ต้องจ้างอย่างไร?
เพราะการทำ SEO เราไม่สามารถจ้างใครทำตรงๆ ได้ ถึงจ้างได้ ก็การันตีให้ติดหน้าแรกไม่ได้อยู่ดี คำแนะนำหากคุณต้องการใช้เงินสำหรับการจ้างทำ SEO การจะจ้างทำ SEO ให้ได้ผลเราต้องจ้างเป็นองค์รวม โดยมี 3 ส่วนหลักๆ
จ้างคนทำเว็บ
จ้างคนทำกราฟฟิค
จ้างคนทำคอนเทนต์ (เขียนบทความให้น่าอ่าน)
คุณต้องไปสร้างทีมงานเก่งๆ มา 3 ส่วนหลักๆ ด้านบน จากนั้นค่อยนัดผมไป training ทีมงานของคุณ หรือจะให้พวกเขาเรียนรู้เรื่อง SEO ด้วยตนเองก็ได้ เพื่อให้การทำงานแต่ละส่วนถูกหลัก SEO
คนทำกราฟฟิค – ต้องรู้หลักการ SEO จะได้ออกแบบและวางตำแหน่งของรูปภาพถูกต้อง เราจะทำเว็บให้สวยอย่างเดียวยังไม่พอ
“Try to make a site that is so fantastic you become an authority in your niche.” Matt Cutts, the former head of search quality at Google
7.6 Social Media
เขียนบทความเสร็จแล้ว ใครจะมาอ่านบทความของเรา?
Social Media คือ ช่องทางกระจายคอนเทนต์บนเว็บของเรา ไปให้คนรู้จักเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ Social media ยังเป็น Signal ให้ Google มา Index ข้อมูลบนเว็บของเราได้เร็วขึ้น
ดังนั้นการแชร์บทความไปยัง Social media ต่างๆ จะเป็นตัวช่วยเพิ่ม Traffic เข้าสู่เว็บของเรานั้นเอง
การแชร์สิ่งต่างๆ ไปยัง Social media ให้ได้ผล คุณต้องเข้าใจธรรมชาติของ Social media ว่าเขาชอบคอนเทนต์ลักษณะไหนบ้าง และอะไรที่เขาไม่ชอบ
7.7 Backlinks
Backlink คือ ลิงค์จากเว็บอื่นๆ ที่ชี้กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา เป็นสิ่งที่บอก Google ให้รู้ว่าเนื้อหาของเว็บไซต์เราได้รับการยอมรับ และมีการทำเป็น reference เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหน้าเว็บของเรา ส่งผลให้เราได้คะแนน SEO จาก Google มากขึ้นไปด้วย
ทุกวันนี้คนค้นหาสิ่งที่ตัวเองสงสัยหรือต้องการใน Google แล้ะใช้บ่อยไม่แพ้ Facebook, Instagram, Youtube หรือ Line จำนวนการค้นหาหรือคำถามที่ Google ได้รับอยู่ “ทุกวินาที” นั้นเกินกว่า 40,000 ครั้ง หมายความว่า Google ได้รับคำถามและคำที่ถูกค้นเกิน 3.5 พันล้านในแต่ละวัน
ฉะนั้นการเอาเว็บไซต์หรือแอปฯขึ้นหน้าหนึ่งและติดอันดับต้นๆบน Google จึงเป็นเรื่องที่ธุรกิจหลายๆเจ้าให้ความสำคัญ เมื่อคนค้นหาในสิ่งที่สงสัยหรือต้องการ เว็บไซต์ของเราจะต้องปรากฎให้คนนั้นเห็นเพื่อไปตอบข้อสงสัยหรือตอบโจทย์ความต้องการของคนนั้น (ทำเว็บฯดักรอให้คนเห็นตามหลัก Pull Marketing) ไม่เหมือนการทำเนื้อหาและโฆษณาบน Social Media ที่ต้องโพสให้คนเห็นเพื่อกระตุ้นให้คนสนใจและต้องการตามหลัก Push Marketing
เราเลยอยากสรุปใจความสำคัญว่า SEO คืออะไรกันแน่ จากนั้นเราจะสอนกลยุทธ์ ขั้นตอนและเครื่องมือที่ใช้ทำ SEO รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์บน Google
SEO คืออะไร ?
SEO หรือ Search Engine Optimization คือการทำให้คนเห็น เยี่ยมชมและได้รับประสบการณ์ที่ดีจากเว็บไซต์หรือใช้แอปพลิเคชั่นมากขึ้นบน Google ที่ครองตลาดใหญ่ที่สุดของ Search Engine โดยไม่พึ่งเงินทำโฆษณาออนไลน์ให้คนคลิกเข้าเว็บฯหรือแอปฯตรงๆ (Pay per click) เป็นหลัก
SEO จะทำหน้าที่ให้คนรับรู้ว่าเว็บไซต์ของเราอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่สงสัยและลองเข้าไปเยี่ยมชมและสนใจ และหากสนใจจนอยากซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ก็สามารถค้นหาแบรนด์ของเราและเจอเว็บฯของเราที่ทำ Google Adwords รอไว้อยู่แล้วซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEM (Search Engine Marketing) นั่นเอง (แต่ในที่นี้จะขออธิบายแค่ SEO เท่านั้น)
SEO จึงไม่ใช่แค่การทำให้เว็บไซต์และแอปฯที่เป็น Digital Asset ติดอันดับหน้าหนึ่งบน Google เพียงอย่างเดียว
ภาพรวมของการทำ SEO ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของคีย์เวิร์ดอย่างเดียว (อ้างอิงจาก singlegrain.com)
ขั้นตอนนี้การทำ Google Adwords จะมีประสิทธิภาพมากกว่าทำ SEO เฉยๆ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าหรือเลือกใช้บริการของเราแล้ว จึงค้นหาชื่อแบรนด์ของเราโดยตรง ฉะนั้นควรทำให้เว็บเพจที่ขายของไปอยู่อันดับต้นๆบนหน้าแรกของ Google โดยใช้โฆษณา Google Adwords ดีกว่าปล่อยให้กลุ่มเป้าหมายไปเจอเว็บฯของคู่แข่งแทน
เปิด Google พิมพ์คำว่า intitle: “(คีย์เวิร์ดที่มีอยู่ใน Excel)” เพิ่อดูจำนวนเว็บไซต์ที่มีคีย์เวิร์ดตัวนั้นใน Title Tag มันจะทำให้เรารู้ว่าคีย์เวิร์ดตัวนั้นแข่งกันมากน้อยแค่ไหน จำนวนที่ได้ก็เอาไปใส่ใน Excel
ให้ลองพิมพ์คีย์เวิร์ดแต่ละตัวใน Google แล้วหาเพจที่คิดว่ามีคุณภาพดีสัก 1-2 เพจ เก็บ URL ของเพจนั้นไว้ใน Excel ข้างๆคีย์เวิร์ดตัวนั้น ซึ่งเพจที่ว่าก็อยู่ในหน้าแรกของ Google
Internal Link คือลิงค์ที่เชื่อกับเพจในเว็บไซต์ของเราเอง แนะนำว่าเราควรลิสต์ออกมาว่าเว็บไซต์ของเรามีเพจอะไรบ้าง เนื้อหาของแต่ละเพจมีความเกี่ยวข้องกันมากน้อยแค่ไหน อยู่ในหมวดเดียวกันหรือเปล่า ฉะนั้นควรวางแผนว่าเพจไหนควรอ้างอิงหรือลิงค์ไปเพจไหนให้เกี่ยวข้องกันให้มากที่สุด และตรวจสอบด้วยว่าเพจที่เราลิงค์ไปหาเกี่ยวข้องกันและยังอยู่ดี
มิฉะนั้นจะทำให้อันดับของเพจเราตกได้
ส่วน External Link คือลิงค์ที่เชื่อมกับเว็บเพจภายนอก จริงๆหากเราทำคอนเทนต์ดีๆ เว็บฯอื่นก็จะลิงค์มาที่เพจเรา ทำให้ Google มองว่าเว็บฯของเราน่าเชื่อถือมากขึ้น
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องมีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา หากเว็บที่เพจของเราไปลิ้งค์เกิดเปลี่ยนหรือหายขึ้นมา (ลิงค์เสีย) ก็จะส่งผลกระทบกับ SEO ของเพจเราในอนาคต หากอ้างอิงตามกูรู SEO 150 คนทั่วโลกที่ MOZ ไปสอบถามมาในปี 2015 External link หรือ Domain-level link นี่แหละที่มีผลต่ออันดับของเว็บฯมากที่สุด๖มากกว่าคีย์เวิร์ดด้วยซ้ำ) รองมาเป็น Internal Link หรือ Page-level link และ Link จะมีอิทธิพลมากกว่าคีย์เวิร์ดต่อไปเรื่อยๆด้วย
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับเว็บฯบน Google (สำรวจโดย MOZ)
5. วัดผลและปรับแต่งเพจและเนื้อหา
เราสามารถให้ SEO Lighthouse เพื่อตรวจสอบจุดที่ผิดพลาดในการทำ SEO ได้คร่าวๆ แต่หากต้องการความละเอียดขึ้นต้องใช้ Google Search Console ไว้ตรวจสอบดูแลเว็บไซต์ของเราดู ว่าเว็บฯของเรามีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง และจะแจ้งเตือนปัญหาให้รู้ เช่นแสดงผลผิดปกติ มีสแปม มีเพจซ้ำซ้อน เครื่องมือตัวนี้ยังบอกความถี่ที่เว็บฯของเราไปปรากฎตามคีย์เวิร์ดต่างๆ รวมถึงเว็บฯที่ลิงค์มาหาเว็บฯเรา
ส่วนวิธีการติดตั้งสามารถดูได้
Search Analytics ใน Google Search Console เราสามารถดูจำนวน Click Impression, CTR และ position ได้
สุดท้ายคือ Google Test My Site ที่นอกจากจะไว้ทดสอบความเร็วในการโหลดเว็บฯบนสมาร์ทโฟนแล้ว ยังช่วยแนะนำจุดที่ต้องแก้ไขเพื่อทำให้เว็บฯโหลดเร็วขึ้น
เพราะการที่เว็บฯโหลดช้าในมือถือส่งผลต่ออันดับบนหน้า Google แน่นอน
ข้อผิดพลาดที่เห็นประจำในการทำ SEO ให้กับเว็บฯบนมือถือ
สิ่งสำคัญที่สุดก่อนเริ่มต้นทำ SEO คือ การเลือก Keyword ที่ใช่ให้กับเว็บไซต์ของเรา หากเราเริ่มต้นทำ SEO ด้วย Keyword ที่ผิด ไม่ตอบโจทย์การค้นหาของคนเสิร์ช ก็ยากที่เว็บไซต์ของคุณจะมีคนเข้ามาชม และติดอันดับบน Google
เช็คด้วยเครื่องมือ SEO ที่ผมซื้อเอาไว้ ชื่อว่า Mangools
เช็คด้วยเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ใช้แสนง่าย อย่าง Google Trend
4. เป็น Keyword ประเภท High Commercial Intent
Keyword High Commercial Intent ถือว่าเป็น Keyword ที่ช่วยทำเงินให้กับธุรกิจของเราเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคำที่คนเสิร์ช ใส่ความต้องการของตัวเองลงในคำค้นหาด้วย ยกตัวอย่างเช่น
บ้านพัก ชะอำ ติดทะเล ไม่เกิน 2000
พรีออเดอร์ ลิปสติก A สี BR420
พรีออเดอร์ เกม PPP แผ่นญี่ปุ่น
จองที่นั่ง ร้าน GGG ราคา
เมื่อเราได้ Keyword ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของเราแล้ว ทีนี้เรามาดูกันเลยว่า ควรปรับแต่งเว็บไซต์อย่างไรให้ได้คะแนน SEO ดีๆ จาก Google!
วิธีการทำ SEO
การทำ SEO คือ การทำให้เว็บไซต์ขึ้นไปติดอันดับบน Google ด้วยการปรับแต่งเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้าง เนื้อหาบนเว็บไซต์ โค้ดหลังบ้าน รวมถึงปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่มีผลกับเว้บไซต์ และอยู่ในเกณต์การให้คะแนนจาก Google
จากภาพกราฟฟิกด้านบน (ที่ดูๆ ไปแล้วเหมือนตารางธาตุสมัยเรียนมัธยม) คุณจะเห็นได้ว่ามีคำศัพท์เยอะแยะมากมายพร้อมกับตัวเลขบวกลบ นั่นคือตัวอย่างการนับคะแนน SEO ของ Google นั้นเองครับ
ซึ่งมันจะทำให้เรารู้ได้ว่า เราควรปรับแต่งเว็บไซต์อย่างไรจึงได้จะคะแนนดีๆ เพื่อไต่อันดับบน Google
การทำ SEO นั้นจะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
SEO On-Page
หรือการปรับแต่งบนเว็บไซต์ เป็นวิธีที่เราสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง โดยการทำ SEO On-Page จะแบ่งวิธีการทำ และการคิดคะแนนออกเป็น 3 กลุ่มคือ
หากบทความในเว็บไซต์ของคุณ มีคำตอบที่คนเสิร์ชต้องการ มีข้อมูลเชิงลึกที่น่าเชื่อถือ คำอธิบายชัดเจน มีการใช้เทคนิค SEO ที่หลากหลายในบทความนั้น ยกตัวอย่างเช่น
• จำนวนคำในบทความมีไม่ต่ำกว่า 500 คำ • มีการตั้งค่า Rich Snippet • มีการตั้งค่า Title & Description • มีการตั้งค่า Headline • มีการตั้งค่า Alt tags ที่รูปภาพ • มีการทำ Internal Link
ก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณ ได้คะแนนนี้ไป
ข้อดี! การสร้างบทความแบบนี้มีโอกาสที่ Google จะนำไปแสดงอยู่ใน Position Zero ตำแหน่งที่สูงกว่าอันดับ 1 ด้วย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้คนเห็นเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น
internal link หรือ การทำBacklink เชื่อมโยงภายใน ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการทำเว็บไซต์เลยก็ได้ครับ มันจะช่วยทำให้ User อยู่นาน และทำให้ Google bot เข้าใจโครงสร้างเว็บเรา ได้มากขึ้นด้วย
7.Meta Tag เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ตรงเนื้อหาก็ไม่ช่วย
Meta Tag หรือการใส่ข้อความด้านล่างจากชื่อของลิ้งก์หรือหัวเรื่องของเราที่จะมองเห็นบน Google เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพราะช่วยเพิ่มคะแนนสำหรับ SEO ได้ดียิ่งขึ้น
แต่ปัญหาคือ บางครั้ง Meta Tag ที่ทำออกมานั้น ไม่สื่อเนื้อหาตรงกับในเว็บเท่าไหร่ ที่สำคัญคือการฝืนทำมากเกินไป ก็อาจจะทำให้ความน่าเชื่อถือของเว็บเราเสียหายไปด้วยเหมือนกัน
อันที่จริงยังมีปัญหาและความเข้าใจผิดอีกจำนวนไม่น้อยทที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำ SEO โดยเฉพาะในยุคนี้ที่การแข่งขันรุนแรง และระบบค้นหาของ Google มีการปรับเปลี่ยนอยู่ประจำ
แน่นอนว่าประโยชน์ของ การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Google คือการที่เว็บไซต์นั้นๆ จะได้รับ Traffic เข้าหน้าเว็บอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโอกาศในการขาย ซึ่งการติดหน้าแรก Google มี่ทั้งแบบโฆษณาผ่าน Google Ads และ SEO.. บทความนี้เราจะมาโฟกัสแบบ SEO กัน ซึ่งการทำ SEO นั้นใช้เวลา ไม่ใช่ทำ 2-3 เดือนแล้วจะติดหน้าแรกเลย และไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่จะติดหน้าแรกตลอด เพราะอยู่ที่ความต่อเนื่องในการทำ และการแข่งขันใน Keyword นั้นๆ ด้วย เพราะหากคู่แข่งเค้าทำกันมานานแล้ว แต่คุณเพิ่งมาทำ ก็จะยิ่งใช้เวลานานขึ้นในการเบียดอันดับขึ้นไป เช่นเดียวกับการที่คุณทำแล้วหยุด คู่แข่งที่ทำอย่างต่อเนื่องก็จะแซงคุณได้เหมือนกัน
ในการที่ Google พิจารณาให้เว็บไซต์มาติด SEO นั้นประกอบไปด้วยหลักเกณ์มากมาย ซึ่งหลักเกณฑ์ในการพิจารณาก็เปลี่ยนแปลงแทบทุกปี เพื่อให้เว็บไซต์ที่แสดงบน Google หน้าแรกในส่วนของ SEO นั้นตรงกับคำค้นหาที่สุด และสร้างประสบการณ์ดีๆ ใก้แก่ผู้ที่ค้นหา ซึ่งปัจจัยที่กระทบต่อการทำ SEO ที่เรากำลังจะพูดถึงจะเป็นปัจจัยหลักๆ 7 หัวข้อ รวมถึงหัวข้อที่ Google อัพเดทในปี 2019.. ถึงแม้ว่าปัจจัยในการที่ Google พิจารณามีมากกว่า 7 ข้อ แต่นี่คือ 7 ข้อสำคัญที่ทีมงาน Pacy Media เลือกมาเล่าให้ฟัง.. การทำ SEO ที่ดีควรโฟกัสกับทุกปัจจัย เพราะทุกเรื่องต้องไปด้วยกัน
7 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อ การทำ SEO
เบื้องต้นจะสรุปคร่าวๆ ตามหัวข้อด้านล่าง ใครสนใจหัวข้อไหนเป็นพิเศษสามารถคลิกไปอ่านที่ข้อนั้นๆ ได้เลย เนื้อหาของบทความนี้อาจไม่ได้ลงลึก เนื่องจากเราต้องการทำให้เข้าใจง่าย ให้ผู้อ่านได้เห็นภาพของปัจจัยในการทำ SEO ให้มีคุณภาพ
โครงสร้าง และความปลอดภัยของเว็บไซต์
ความเร็วในการโหลด
Mobile Friendly / ลองรับการแสดงบนมือถือ
คุณภาพของโดเมน (Domain Age / Domain Authority)
Optimized Content หรือคุณภาพของบทความ และเนื้อหา
ประสบการณ์การใช้เว็บไซต์ / User Experience
Inbound Links / Internal Links / Backlinks (เป็นปัจจัยทีส่งผลต่อ SEO สูง)
คุณเบื่อไหมเวลาต้องเข้าเว็บไซต์ที่โหลดช้าๆ? แล้วเคยรอนานจนต้องปิดเว็บไซต์ไหม? มั่นใจว่าหลายคนเบื่อ และเคยออกจากเว็บไซต์เพราะเว็บไซต์นั้นโหลดช้า จึงเป็นเหตุผลที่ Google ให้ความสำคัญกับเรื่องความเร็วมากเพื่อเลี่ยงประสบการณ์แย่ๆในการค้นหาข้อมูล
ซึ่งความเร็วในการโหลดนั้นไม่ใช่แค่ตรวจจากการเปิดเว็บไซต์บน Desktop แต่รวมถึงบน Mobile เช่นกัน ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา Google ประกาศชัดเจนว่า Mobile Page Speed เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะนำมาพิจารณา
3. Mobile Friendly / รองรับการแสดงบนมือถือ
ในยุคนี้เป็นยุค Mobile First.. เราแทบจะใช้มือถือมากกว่าคอมพิวเตอร์ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่ก็จะต้องปรับให้ทำงานแบบ Responsive คือรองรับการแสดงผลบนทั้ง Desktop และ Mobile โดยเว็บไซต์จะปรับการแสดงผลอัตโนมัติเมื่อเปิดบนมือถือ ไม่ว่าจะเป็น Layout เมนู ฟอนต์ และส่วนอื่นๆ เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานยิ่งขึ้น
เว็บไซต์ที่ไม่ได้ทำงานแบบ Responsive ผู้ใช้จะต้องคอยซูมเพื่ออ่าน หรือดูภาพ ซึ่งสร้างความติดขัดในการใช้งาน หากเว็บไซต์ของคุณทำงานแบบ Responsive ก็จะได้คะแนนคุณภาพจาก Google สูงกว่าเว็บไซต์คู่แข่งที่ยังแสดงผลแบบเก่า
Meta Description: คำอธิบายหน้านั้นสั้นๆ เขียนให้น่าสนใจ และให้มี Keyword หลักอยู่ด้วย
ตัวอย่าง Page Title และ Meta Description
6. ประสบการณ์การใช้เว็บไซต์ / User Experience
หากเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณไม่น่าสนใจ ผู้ใช้จะออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่ง Google จะใช้ตัววัดที่เรียกว่า Bounce Rate หรืออัตราการเด้งออกจากเว็บไซต์ (ยิ่งต่ำยิ่งดี) ซึ่งหากมีการเด้งออกสูง Google จะคิดว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์คุณไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ก็จะเป็นเรื่องยากที่เว็บไซต์จะขึ้นหน้าแรก
นอกจากนี้ยังมีตัวเลขอีกตัวที่ Google จะใช้วัด นั่นคือ Click Through Rate (CTR) หรืออัตราการคลิกเข้าเว็บไซต์ ดังนั้น Page Title และ Meta Description ของหน้านั้นควรเขียนให้น่าสนใจ หากมีผู้ใช้ค้นหา Google เจอเว็บไซต์คุณ และคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ในอัตรา CTR ที่สูง Google จะคิดว่าเว็บไซต์ของคุณน่าสนใจ และจะให้คะแนน SEO มากขึ้น
ปัจจัยที่คุณสามารถลองทำเองได้เลยคือข้อ 5 นั่นคือการวางโครงสร้างคอนเทนต์ที่ดี และเขียนคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ.. สำหรับข้อ 1/3/6 อาจต้องใช้ความรู้เรื่อง Programming ในการเขียนเว็บไซต์ และแก้ไขการแสดงผล หากใครยังไม่มีเว็บไซต์ ให้คุยกับผู้ที่ให้บริการสร้างเว็บไซต์ก่อน เพื่อให้พัฒนาเว็บไซต์รองรับการทำ SEO หรือหากใครมีเว็บไซต์แล้ว สามารถลองดูบริการ Onpage SEO เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญได้ปรับปรุงโครงสร้าง Page Title, Header Tag (h1, h2, h3) และ Meta Discription ให้เหมาะกับการทำ SEO
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการติดอันดับ SEO มากที่สุดใน 7 ข้อนี้คือ Links Building หรือการสร้าง Backlinks นั่นเอง เป็น Offpage Optimization ซึ่งที่ Pacy Media เรา รับทำ SEO ด้วยเทคนิค Links Building จากเว็บไซต์ที่มี DA (Domain Authority) สูง ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพยิ่งขึ้นในสายตาของ Google โดยบริการ SEO ของเราจะรวมการทำ Onpage Optimization ให้ด้วย โดยโฟกัสในส่วนของการปรับโครงสร้าง Header Tag เพื่อให้ Google Bot เข้าเจอ Keyword สำคัญๆ ง่ายขึ้น
Answer the Public – https://answerthepublic.com/ เป็นเครื่องมือที่ช่วยคุณหาคีย์เวิร์ดเพิ่มเติมได้ฟรีๆ โดยเฉพาะ keywords ประเภทคำถาม วิธีใช้ก็ง่ายนิดเดียว
Related Keyword คือคำที่มีความหมายเกี่ยวเนื่องเกี่ยวข้องกับคำค้นหาหลักที่คุณกำลังทำ SEO อยู่
การที่จะหาคำเกี่ยวข้องก็ง่ายนิดเดียว เราก็ยังจะขอพึ่ง Google ต่อไป ในการช่วยหา
เมื่อคุณพิมพ์ keyword ลงไปใน Google ก็ให้เลื่อนลงมาด้านล่างผลการค้นหา
แล้วให้คุณมองหาประโยคที่ว่า Searches related to … (“การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับ”) คุณจะเห็นคำที่กูเกิ้ลคิดว่าเกี่ยวข้องกับคำที่คุณใส่ลงไป คำไหนที่คุณคิดว่าตรงกับสินค้าของคุณก็บันทึก จดใส่เศษกระดาษไว้
6. Google Trend
Google Trend เป็นอีกหนึ่งในเครื่องมือที่ Google เขาสร้างขึ้นมาให้ใช้ฟรีอีกเช่นกัน คุณสามารถหาไอเดีย keywords เพิ่มเติมได้ง่ายๆ
การที่เว็บเพจติดอันดับอยู่ในครึ่งล่างของหน้าแรก Google (Below the Fold) ไปจนถึงหน้าที่สอง ชี้ให้เห็นว่า Google พอใจกับคุณภาพของเว็บเพจนั้น ๆ ที่ติดอันดับอยู่พอสมควรแล้ว
ดังนั้นเมื่อคุณปรับปรุงประสิทธิภาพหน้าเพจเหล่านี้เพิ่มเติมอีกสักหน่อย คำที่คุณกำลังทำ SEO อยู่สามารถขึ้นไปยืนอยู่ในอันดับที่คุณคาดหวังไว้ เช่น Top 3, Top 5, หรือ Top 10 เป็นต้น ได้โดยไม่ยากมาก และไม่เสียเวลาเนิ่นนานนัก กล่าวคือ ระยะหวังผลอยู่ในช่วง 30-90 วัน
ผมก็จะไล่จดค่าจาก Moz bar (แถบสีเทาใต้รายการ) Page Title, PA, DA, Link ของคู่แข่งที่อันดับดีกว่า และบันทึกค่าไว้ใน excel เพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์ต่อไป
2. ความแข็งแรงเชิง SEO ของทั้งเว็บไซต์ (Domain Strength)
ในทาง SEO เมื่อมีเว็บไซต์อื่นลิงก์มายังเว็บไซต์คุณ เปรียบเสมือนเหมือนกับการแนะนำหรือการรับรองจากบุคคลที่สาม ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือในสายตา Google มากขึ้น และลิงก์จากภายนอกเหล่านี้ยังทำให้ความแข็งแรงเชิง SEO โดยรวมของเว็บไซต์คุณสูงขึ้นด้วย
การโอนถ่าย link juice ไปส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์
3. ความแข็งแร็งเชิง SEO ในระดับเว็บเพจ (Page Strength)
ความแข็งแรงในเชิง SEO โดยรวมทั้งเว็บ (Domain Strength) สามารถถูกส่งผ่านไปยังหน้าเว็บเพจต่างๆ ในเว็บไซต์ผ่านทางลิงก์ที่เชื่อมโยงกันเองภายใน หรือ Internal Links หน้าไหนได้รับลิงก์จากหน้าอื่นมาก ความแข็งแรงเชิง SEO ของหน้านั้นๆ ก็จะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
4. On-Page SEO
หรือบางคนจะเรียกว่า On-Site SEO ก็ไม่ผิด คือการปรับแต่งหน้าเว็บเพจให้ถูกใจทั้ง Search Engine และผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยทั่วไปกิจกรรม On-Page SEO ที่เราทำกันก็มีอย่างเช่น การปรับแต่งชื่อเว็บเพจ (Page Title), ปรับแต่งเนื้อหาคอนเทนต์, การทำลิงก์เชื่อมโยงภายใน (Internal Linking) เป็นต้น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดว่าสมควรหยิบมาทำ SEO หรือไม่นั้น คุณต้องใช้องค์ประกอบทั้งสี่นี้มาวิเคราะห์ร่วมกันโดยใช้เครื่องมือวัดความสามารถในการแข่งขัน
คู่แข่งแบบไหน หนีให้ไกล อย่าไปยุ่ง
มีบางคีย์เวิร์ดที่ผมเห็นว่าเป็นคำต้องห้ามไม่ควรนำมาทำ SEO ให้เมื่อยตุ้มเพราะทำไปโอกาสที่คุณจะติดอันดับต้นๆ ในหน้าผลลัพธ์การค้นหานั้นริบหรี่ยิ่งกว่าแสงหิ่งห้อยเสียอีก คำพวกนี้จะเกี่ยวกับบริการหรือผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ขอยกตัวอย่างให้เป็นภาพด้วยคำว่า “จาวา” (จาวา หรือ JAVA คือ ภาษาที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท ซันไมโครซิสเต็มส์ (Sun Microsystems Inc.) เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่ง) ดังนี้… 1. ผมเริ่มด้วยการเปิดรายงาน Keywords explorer ขึ้นมาด้วยการไปที่ https://ahrefs.com/ แล้วคลิกที่เมนู Keywords explorer
เปิดรายงานด้วยการคลิกลิงก์ Keyword Explorer
2. เลือก Google และ 3. เลือก Thailand ในกรณีที่ต้องการหาข้อมูลจาก Google ประเทศไทยป้อนคำว่า 4. ป้อนคีย์เวิร์ด “จาวา” ลงไปในช่อง แล้วกดปุ่มแว่นขยาย เพื่อทำการดึงข้อมูลคีย์เวิร์ดออกมา
ถึงลิงก์จะเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ในการทำอันดับให้คีย์เวิร์ด การทำ On-Page SEO ก็เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้และจำต้องทำให้ถูกหลัก
ถ้าเว็บไซต์คุณมีปัญหาคอนเทนต์สะสมมากๆ โดยไม่ได้รับการแก้ไข Google อาจมองว่าทั้งเว็บไซต์มีคุณภาพต่ำไปเลย ส่งผลให้อับดับคีย์เวิร์ดโดยรวมทั้งเว็บไซต์ตกลงได้ …
โดยปกติ Google จะให้ความสำคัญและเชื่อถือเว็บไซต์ที่มีค่า DR สูงอยู่แล้ว ถ้าเว็บเพจอันดับที่ 6 ได้รับการปรับแต่งให้ถูกหลัก On-Page SEO มากขึ้น หรือมีลิงก์ชี้มาจากเว็บไซต์อื่นเพิ่มเติมเข้ามา โอกาสที่จะแซงหน้าเว็บเพจอันดับที่ 5 ขึ้นไปมีไม่น้อยเลยทีเดียว เทคนิกการทำ On-Page SEO ยังมีอีกมาก ในบทต่อๆไปผมจะพูดถึงแนวทางการทำเชิงลึกมากขึ้น เพื่อคุณจะได้เห็นแนวทางและสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม
รู้ใจว่าที่ลูกค้า รู้ใจ Google (Search Intent)
นักทำ SEO หลายท่านโดยเฉพาะมือใหม่หัดทำมักจะมองข้ามสิ่งๆหนึ่งไป นั่นคือความต้องการของผู้ใช้เบื้องหลังคีย์เวิร์ด (Search Intent) ที่หยิบมาทำ SEO ขอขยายความแบบนี้ว่า…
ไม่ใช่บทความ (Article) ที่มุ่งเน้นให้ข้อมูลหรือความรู้อย่างที่คุณกำลังทำ ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนลงแรงเดินหน้าทำ SEO แบบเต็มสูบ คุณควรศึกษาให้ดีก่อนว่า Google ชอบที่จะแสดงเนื้อหาแบบไหนในหน้าผลลัพธ์การค้นหา แล้วก็พยายาม Match เนื้อหาประเภทนั้นๆ ให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ
อย่างไรก็ตามคู่แข่งมี DR สูงมาก ใช่ว่าจะแข่งไม่ได้ ถ้าหน้าเพจของคู่แข่งมีลิงก์ไม่มากหรือไม่มีเลยแสดงว่าหน้านี้ติดอันดับเพราะ DR ของเว็บไซต์ แบบนี้คุณมีโอกาสครับ
สิ่งต่อไปที่ต้องทำให้แน่ใจว่าแข่งได้คือคู่แข่งมีการทำ On-Page SEO ดีหรือไม่อย่างไร คุณพอที่จะสร้างคอนเทนต์คุณภาพดีกว่าได้ไหม